หลายวันก่อน แมวดื้อเข้าไปยังเว็บไซต์ร้านอาหารฟูจิโดยบังเอิญ

มีเกร็ดความรู้อยู่พอสมควร

หยิบมาใส่ blog เลยดีกว่า

อิอิ

ตอนแรก

ว่ากันด้วย

…ซูชิ…

ว่าแต่… ขอแก้ “ภาษา” หน่อยนะ เห็นแล้วทนไม่ได้

ภาษาไทยวันละคำ… อักษรเสีียงต่ำ จะมีวรรณยุกต์ได้เพียง ไม้เอก ไม้โท เท่านั้น

คำว่า “ไม๊” จึงมีรูปภาษาที่ผิด ถ้าจะใช้ภาษาวัยรุ่นจริงๆ ใช้ “มั้ย” ยังดูดีกว่าอีก เพราะออกเสียงสั้น

😉

 

มารู้จัก “ซูชิ” กันเถอะ

“ซูชิ”ได้ยินคำนี้แล้วท้องร้องขึ้นมาเลยใช่ไหมครับ

แต่รู้ไหมครับว่า.. มีหลายคนที่เข้าใจความหมายของซูชิผิดไป ซึ่งก็เป็นเพราะต้นกำเนิดของมันนั่นเองครับ

ซูชิ มีวิวัฒนาการมาก่อนเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เกิดจากความต้องการถนอมอาหารของคนญี่ปุ่น เอ…ใครก็ไม่รู้นะครับ เขานำปลาดิบที่ล้างจนสะอาด แล้วมาหมักกับเกลือและส่วนผสมต่างๆ และรอจนได้ที่จากนั้นก็นำปลาดิบที่หมักเสร็จแล้ว มารับประทานพร้อมกับข้าว

นี่เองที่ทำให้หลายๆ คนเข้าใจไปว่า ซูชิ คือปลาดิบ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดครับ อันที่จริง ซาซิมิ (Sashimi) ต่างหากที่คือปลาดิบ และ ซูชิ (Sushi) หมายถึง การรวมกันระหว่างปลากับข้าวครับ

แล้วรู้ไหมครับว่า.. มีผู้ที่คิดค้นสูตรการทำซูชิขึ้นใหม่ ซึ่งคล้ายคลึงกับซูชิที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ก็คือ พ่อครัวหัวใสชื่อ คุณโยเฮอิ(Yohei) เขาคิดขึ้นมาตอนประมาณศตวรรษที่ 18 โน่นแหนะครับ… เลยทำให้เราได้กินของอร่อยๆ อีกแบบ… ถึงจะดิบแต่สะอาดถูกหลักอนามัย… ต้องขอบคุณจริงๆเลยครับ

ซูชิในอดีต มี 2 รูปแบบครับ คือ

1.รูปแบบคันไซ (Kansai Style) มาจากจังหวัดโอซาก้า (Osaka) ที่เป็นเมืองสำคัญทางการค้ามาเนิ่นนานแล้ว และมีชื่อเสียงด้านการค้าข้าวด้วยนะครับ และปัจจุบันเรารู้จักซูชิแบบนี้กันในชื่อ “โอชิซูชิ” ครับ

2.รูปแบบเอโดะ (Edo Style)มาจากโตเกียว ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองเอโดะอันรุ่งเรืองในอดีตไงล่ะครับ และเป็นที่มาของ “นิงิริซูชิ” ที่แพร่หลายไปทั่วโลกเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด

ไหนๆก็รู้ที่มากันแล้ว มารู้จักซูชิในปัจจุบันกันต่อเลยนะครับ

นับตั้งแต่คุณโยเฮอิคิดซูชิรูปแบบใหม่ขึ้นมาได้ ซูชิก็เลยเป็นที่นิยมไปทั่ว ไม่ใช่เฉพาะคนญี่ปุ่นเท่านั้นที่รับประทานกัน ตอนนี้มันกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกซะแล้วล่ะครับ สำหรับในเมืองไทยก็มีแน่นอนครับ ไม่ใช่แค่ในร้านใหญ่ๆ เท่านั้นนะครับ ตามศูนย์อาหารหรือในซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งก็มีด้วยครับ ก็เพราะความอร่อย กินง่ายเพราะส่วนใหญ่เขาทำเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วก็เหมาะกับทุกฤดูกาลนั่นแหละ ไม่ว่าอากาศจะเป็นยังไง ซูชิก็ยังดีต่อสุขภาพอยู่นั่นเอง

ซูชิมีหลายชนิดครับ ที่เราคุ้นเคยเห็นหน้าค่าตากันอยู่บ่อยๆ มี 4 แบบ ครับ
แบบแรก “นิงิริซูชิ” (Nigiri Sushi) คือ ข้าวเป็นก้อนรูปวงรีแล้ววางเนื้อปลาดิบ ปลาหมึก ฯลฯ ไว้ข้างบน อาจจะเสริมรสหรือตกแต่งด้วยสาหร่ายทะเลก็ได้ ซูชิแบบนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดเลยครับ แล้วถ้าพูดถึงซูชิทั่วๆ ไปก็จะหมายถึง นิงิริซูชินี่แหละครับ

ซูชิอีกแบบที่คุ้นมาก ก็คือ “มากิซูชิ” (Maki Sushi) มีวิธีทำตั้ง 3 อย่างแหนะ อย่างแรกก็ม้วนข้าวไว้ด้านใน อย่างที่สองก็ม้วนกลับด้านเอาข้าวไว้ข้างนอก และอย่างที่สามห่อเป็นรูปกรวยครับ ดูแล้วสนุกดีจัง แล้วผมก็สรุปเอาเองเรียกว่าข้าวห่อสาหร่าย…เข้าใจง่ายดีใช่ไหมครับ

ส่วนแบบที่ ทำง่ายที่สุด คือ “ชิราฌิซูชิ” (Chirashi Sushi) ก็แค่เอาพวกเนื้อปลาดิบ ปลาหมึก กุ้ง ผัก ฯลฯ ที่หั่นเป็นชิ้นๆ วางเรียงบนข้าวที่ใส่อยู่ในกล่องเท่านั้นเอง

แบบสุดท้าย “โอชิซูชิ”(Oshi Sushi) หรือรูปแบบคันไซจากเมืองโอซาก้าไงครับ ซูชิแบบนี้ ก็เอาข้าวมาอัดลงในแม่พิมพ์รูปสี่เหลี่ยมตามยาว หั่นขนาดพอดีให้รับประทานเป็นคำๆ แล้ววางเนื้อปลาไว้ด้านบน เท่านี้ก็เรียบร้อยครับ

อ้อ…ผมลืมบอกไป หลายคนอาจจะไม่ทันสังเกตว่าข้าวในซูชิมีการปรุงรสด้วยนะครับ ก็ ใส่น้ำส้ม เกลือ น้ำตาล ทำให้รสชาติออกหวานๆ เปรี้ยวๆ และเค็มเล็กน้อยครับ แล้วพอจิ้มโชยุกับวาซาบิ อื่ม…ไปกันเลยดีไม๊ครับ

Link: www.fuji.co.th