SweetValentine in BKK

อ่านคอลัมน์นี้แล้วเกิดอยากไปลั่นชัตเตอร์ขึ้นมา
ลองดูรูปสิ

 


หนุ่มสาวพากันควงคู่ไปพักผ่อนที่สวนรถไฟ

พอถึงวันวาเลนไทน์ทีไร ก็มักจะได้ยินคำรำพันจากคนไม่มีคู่ประเภทว่า เมื่อไหร่จะได้เจอคนดีๆ เมื่อไรจะมีแฟนเสียที ฯลฯ อันนี้ฟังแล้วฉันก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร แต่สำหรับคนที่มีแฟนแล้วก็มักจะได้ยินคำถามว่า วาเลนไทน์นี้จะพาแฟนไปไหนดี อันนี้ฉันพอตอบได้ เพราะสถานที่โรแมนติกที่เหมาะจะพาคนรักไปเที่ยวนั้นก็มีอยู่หลากหลาย

ในกรุงเทพฯ เองก็มีมุมสวีทหวานโรแมนติกอยู่หลายที่ด้วยกันที่สามารถพาหวานใจไปนั่งเล่น พูดคุยจู๋จี๋กัน โดยไม่ต้องพึ่งพาร้านอาหารหรูๆแพงๆ แบบที่หลายคนนิยมกัน แต่เป็นสถานที่ง่ายๆ(เพียงแต่ต้องไปให้ถูกช่วงจังหวะเวลา)ที่บางคนคุ้นเลย แต่อาจมองเลยผ่าน ซึ่งฉันเล็งมาแล้วว่าเหมาะกับคู่รักที่นิยมการท่องเที่ยวในเมืองกรุงฯ โดยมุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวพักผ่อนชื่นชมสิ่งสวยๆงามๆ โดยไม่ได้ต้องการให้คู่หนุ่มสาวไปเพื่อแสดงออกทางความรักอย่างเกินพอดี ผิดศีลธรรมครรลองของวัฒนธรรมไทยแต่อย่างใด


บรรยากาศดีๆน่าไปเที่ยวที่สวนรถไฟ

ที่แรก ฉันขอแนะนำสวนสาธารณะอย่าง“สวนรถไฟ”  หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สวนวชิรเบญจทัศ” สวนสาธารณะในเขตจตุจักรที่หลายๆ คนรู้จักดีและคงเคยไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกันมาบ้างแล้ว สวนรถไฟนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 375 ไร่ พื้นที่กว้างๆ ของสวนรถไฟนี้ก็ได้บรรจุเอาสิ่งต่างๆ ที่น่าสนใจไว้นอกจากความร่มรื่นจากต้นไม้ตามแบบสวนสาธารณะแล้ว ที่นี่ก็ยังมี “อุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพฯ”  ที่นอกจากจะให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องวงจรชีวิตของผีเสื้อแล้ว ก็ยังมีกรงจัดแสดงผีเสื้อ ซึ่งเป็นกรงตาข่ายขนาดใหญ่ ภายในตกแต่งให้มีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับธรรมชาติ โดยมีทั้งลำธาร น้ำตก ต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ และมีผีเสื้อตัวเป็นๆ พากันบินวนเวียนดอมดมดอกไม้เต็มไปหมด แต่อย่าถามนะว่ามีกี่ตัว เพราะนับกันไม่ทันเลยทีเดียว

นอกจากอุทยานผีเสื้อฯ แล้ว ที่นี่ก็ยังมี “เมืองจราจรจำลอง” ที่ให้เด็กๆ เข้ามาเรียนรู้เรื่องกฎจราจรขั้นต้น เช่น เครื่องหมายจราจร ไฟสัญญาณต่างๆ บนท้องถนน และหัดขี่จักรยานกันในเมืองจราจรนี้ แต่เท่าที่ฉันเห็นนั้น ไม่ใช่แค่เด็กๆ เท่านั้นที่มาขี่ แต่บรรดาผู้ใหญ่ใจเด็กก็เข้ามาขี่จักรยานกันมากเช่นกัน


ชมพูพันทิพย์กำลังบานสะพรั่งที่สวนรถไฟ

นอกจากขี่จักรยาน ก็ยังสามารถมาพายเรือคายักในสระน้ำกันได้อีกด้วย เรียกว่าสามารถมาพักผ่อนและสนุกสนานกันได้ทั้งครอบครัว ทั้งกลุ่มเพื่อน และสำหรับคู่รักทั้งหลาย ฉันก็ยิ่งขอแนะนำให้มาที่สวนรถไฟกันในช่วงนี้ เพราะต้นชมพูพันทิพย์กำลังออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งไปทั่วสวนรถไฟ มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีชมพู ถ้าพาแฟนมาซ้อนจักรยานแล้วขี่ชมดอกไม้สีชมพูหวานแหววไปด้วยกันตอนช่วงแดดร่ม ลมตกก็คงจะโรแมนติกน่าดู อย่าลืมเตือนแฟนด้วยว่าให้กอดเอวแน่นๆ นะจ๊ะ เดี๋ยวตกจักรยาน

พูดถึงบรรยากาศโรแมนติกอีกอย่างหนึ่ง ฉันก็นึกถึงบรรยากาศในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน หรือถ้าตกน้ำได้ก็ยิ่งดี ถ้าใครชอบบรรยากาศแบบที่ว่านั้นฉันก็ขอแนะนำให้ไปที่ “สะพานพระราม 8” สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงบริเวณโรงงานสุราบางยี่ขัน ข้ามมายังถนนวิสุทธิกษัตริย์ ใกล้กับธนาคารแห่งประเทศไทย สะพานพระราม 8 นี้เป็นสะพานขึงแบบอสมมาตร ไม่มีเสารับน้ำหนักตั้งอยู่ในแม่น้ำ ทำให้เรือวิ่งผ่านได้สะดวก


บรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกดินที่สะพานพระราม 8

สิ่งที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ของสะพานพระราม 8 นี้ก็น่าจะเป็นสายเคเบิลที่รับน้ำหนักตัวสะพาน เป็นสายเคเบิลสีเหลืองสดใสในตอนกลางวัน และดูโดดเด่นจากแสงสปอร์ตไลท์บนสะพานในตอนกลางคืน คนสร้างสะพานคงตั้งใจจะให้มีคนขึ้นมาเดินเล่นบนสะพานกันอยู่แล้ว จึงได้สร้างทางคนเดินเสียกว้างขวาง เดินกันได้แบบสบายๆ หรือจะเอาจักรยานขึ้นมาขี่ก็ยังได้

วิวทิวทัศน์บนสะพานพระราม 8 นั้นก็งามจริงๆ เสียด้วย โดยเฉพาะในยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า ท้องฟ้าเหมือนทาด้วยสีส้มอมชมพู และทำให้ตึกรามบ้านช่องและแม่น้ำเจ้าพระยากลายเป็นสีส้มอมชมพูด้วยเช่นกัน ยืนรับลมส่งพระอาทิตย์กลับบ้านอยู่เพียงครู่เดียว พอหันหลังกลับมาอีกที สะพานพระราม 8 ก็ถูกจุดให้สว่างไสวขึ้นมาด้วยแสงไฟจากสปอร์ตไลท์ที่ส่องขึ้นไปยังด้านบนของสะพาน


ใต้สะพานพระราม 8 มุมโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพ

ฉันขอแนะนำให้เดินจากฝั่งพระนครไปยังฝั่งธนบุรี เพราะหลังจากที่ได้ชมวิวทิวทัศน์อันงดงามบนสะพานแล้ว จะได้มาพักเหนื่อยที่ลานริมน้ำใต้สะพานพระราม 8 ทางฝั่งธนฯ และนอกจากจะได้นั่งพักแล้ว หากใครเกิดหิวขึ้นมา บริเวณใต้สะพานแห่งนี้ก็มีอาหารบริการ เป็นประเภทอาหารว่างอย่างยำมะม่วง ลูกชิ้นปิ้ง ปลาหมึกปิ้ง ฯลฯ ให้เลือกกินกัน ซึ่งก็มีคนมาปูเสื่อนั่งกินอาหารกันอยู่เต็มพื้นที่เลยทีเดียว หรือหากใครไม่อยากกิน แต่จะอยากนั่งมองแม่น้ำหรือนั่งคุยกันเงียบๆ อย่างเดียว บริเวณใต้สะพานพระราม 8 นี้ก็มีพื้นที่ให้เลือกนั่งหลายมุมด้วยเช่นกัน

แต่ถ้าใครอยากจะได้บรรยากาศสวีทแบบนอนนับดาวกันในความมืด ขอบอกว่าในกรุงเทพฯ ก็มีเช่นกัน แต่หากจะดูกันบนฟ้าจริงๆ เห็นทีว่าท้องฟ้าคงจะถูกฝุ่นควันและมลพิษในกรุงเทพฯ บดบังไปเสียหมด เพราะฉะนั้น หากอยากเห็นดาวแบบชัดๆ จะๆ แถมไม่ต้องรอดูตอนกลางคืนก็ได้ ก็ต้องไปที่ “ท้องฟ้าจำลอง” หรือ “ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา” ที่ตรงแถวๆ เอกมัยนั่นเอง


สามารถนอนนับดาวในตอนกลางวันที่ท้องฟ้าจำลอง

บางคนอาจจะบอกว่า จะไปเดทกับแฟนทั้งทีดันแนะนำให้มาศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ แค่ฟังชื่อก็น่าเบื่อเสียแล้ว ฉันก็ขอออกตัวก่อนว่า ในส่วนของศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ให้เด็กๆ และผู้ที่มาเข้าชมได้ค้นคว้า สัมผัส ทดลองวิทยาศาสตร์แบบง่ายๆ นั้น หากไม่อยากชมจะข้ามไปเสียก็ได้ แต่ต้องไม่พลาดท้องฟ้าจำลอง อีกหนึ่งสถานที่โรแมนติกที่ฉันขอแนะนำ

ที่ท้องฟ้าจำลองแห่งนี้ ได้เปิดการแสดงมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 แล้วโดยมีเครื่องฉายดาวเป็นพระเอกของงาน เพราะสามารถฉายดาวฤกษ์ได้ประมาณ 8,900 ดวง ขณะที่ตาเปล่าเราสามารถมองเห็นดวงดาวได้แค่ 3,000 ดวง ในการชมดวงดาวในท้องฟ้าจำลองนี้ก็จะมีผู้บรรยายถึงดวงดาวต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าหากดูเอาเองแล้วก็คงจะไม่รู้ว่าดวงไหนเป็นดวงไหนแน่ๆ


ลูกโลกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารท้องฟ้าจำลอง

ผู้บรรยายจะเริ่มพาเราเข้าสู่ช่วงพลบค่ำของกรุงเทพมหานคร อันเต็มไปด้วยฝุ่นควันที่ปกคลุมเมืองทำให้ไม่สามารถมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจน เหมือนอยู่ในต่างจังหวัดหรืออยู่บนยอดเขาสูง ดังนั้นเราจึงต้องบินขึ้นสูงเหนือชั้นบรรยากาศขึ้นไป เพื่อให้เห็นดวงดาวชัดเจนขึ้น พอผู้บรรยายพาเราขึ้นไปเหนือชั้นบรรยากาศ ก็ปรากฏเสียงอู้หูอื้อหือมาจากบรรดาผู้ชมทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้านั้นสวยงามจนทุกคนต้องร้องออกมา เป็นภาพของดวงดาวหลายพันดวงกำลังส่องแสงวิบวับในท้องฟ้าที่มืดสนิทไร้เมฆ หมอกไร้มลพิษมาบดบัง ถึงแม้จะเป็นภาพที่สร้างขึ้นด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ แต่ก็งดงามเหมือนจริง

นอกจากจะได้ชมความสวยงามของท้องฟ้าแล้ว ก็ยังได้ความรู้เกี่ยวกับกลุ่มดาวต่างๆ ทั้งกลุ่มดาวหมีน้อย กลุ่มดาวหมีใหญ่ กลุ่มดาวจระเข้ กลุ่มดาวเต่า ฯลฯ ตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับดวงดาวอีกด้วย

ตระเวนไปครบสถานที่โรแมนติกเหล่านี้แล้ว ฉันขอปิดท้ายด้วยการมาขอพรในเรื่องของความรักกับ “พระตรีมูรติ” บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ย่านราชประสงค์ ซึ่งถือว่าเป็นย่านเทพเจ้าก็ ว่าได้ เพราะเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าหลากหลายองค์ตามคติความเชื่อแบบฮินดู (พราหมณ์) ซึ่งหนึ่งในเทพที่ประดิษฐานอยู่บริเวณนี้ก็คือพระตรีมูรติ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งความรักอีกด้วย


พระตรีมูรติ เทพเจ้าแห่งความรัก

พระตรีมูรติ เป็นเทพที่รวม 3 เทพไว้ด้วยกันในรูปเดียว ได้แก่ พระพรหม พระผู้สร้าง พระวิษณุ พระผู้รักษา และพระศิวะ พระผู้ทำลาย การรวมตัวของพลังทั้ง 3 ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดไว้ในรูปเดียวกันนี้เองทำให้พระตรีมูรติเป็นดั่งพลัง อันยิ่งใหญ่ของเทพเจ้า และเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุด

แม้จะไม่ปรากฏที่มาของความเชื่อเรื่องที่พระตรีมูรติเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก แต่ในทุกค่ำคืนของวันพฤหัสบดี เวลา 21.30น. ซึ่งเชื่อว่าเป็นเวลาดีที่เทพจะเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ลงมาประทานพรให้ผู้ ที่มากราบไหว้ ก็จะมีผู้คนที่อยากสมหวังในรักมาอธิษฐานขอพรพร้อมกับดอกกุหลาบแดง 9 ดอก ธูปสีแดง 9 ดอก หรือจะเป็นพวงมาลัยกุหลาบ 1 พวง ก็ได้ เทียนแดง 1 เล่ม หรือ 1 คู่ก็ได้ แต่ถ้าเป็น 1 คู่ ก็ต้องประกบให้แน่นตามเคล็ดที่ว่าชีวิตรักจะได้แนบแน่นตลอดไป ส่วนผลไม้นั้นนิยมมะพร้าว น้ำอ้อย นมสดหรือของหวานอะไรก็ได้ แต่ที่ห้ามอย่างเด็ดขาดคืออาหารคาวทั้งหลาย


อธิษฐานขอความรักกับพระตรีมูรติ

Link: Manager Online