ในปีนี้
จากการเตรียมตัวล่วงหน้า
ทำให้แก๊งปากมันของพวกเราได้จองตั๋วทริปทานตะวัน
ไปกับการรถไฟเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่กลางเดือน
เมื่อปีที่แล้วมีโอกาสได้ไปในวันปีใหม่
โดย koonkwang ขับรถไป
มีเวลาลุยทุ่งทานตะวันพอสมควร
เลยได้ “Sunflower Story” มาแล้ว
เอามาลงไว้อีกครั้งนึงแล้วกัน
~ Sunflower Story ~
ทานตะวัน.. ก็เหมือนความรัก
..อยากให้ใครมาสนใจ..
แม้เธอไม่สนใจ.. ก็ขอให้อยู่ข้างๆ ..เป็นที่พักพิง
กว่าจะมาเป็นความร้ก.. ต้องผ่านอะไรมาตั้งมากมาย
กว่าจะงอกงาม.. คนอื่นเค้าก็แซงหน้ากันไปหมดแล้ว
แต่ชีวิตคือการต่อสู้.. หวังว่าจะมีวันนึงที่เป็นของเรา
อาจจะมีบ้าง.. ที่ผิดหวัง.. แต่ไม่ท้อใจ
มีหลายครั้งที่ไม่สมบูรณ์.. ดังที่หวัง
แต่ยังพร้อม.. ล้ม..แล้ว..ลุก ..ต่อไป
รอสักวัน.. ที่เธอผ่านเข้ามา
เข้ามาเติมเต็ม.. ทำให้ฉัน.. สวยงาม
~ Sunflower Story ~
พอมาปีนี้
ถึงแม้จะรู้ตารางเวลาคร่าวๆ
แต่ก็นึกภาพไม่ออกว่าจะถ่ายรูปแนวไหนดี
สุดท้ายก็เลยตอบตัวเองไปว่า
ลองฝึกถ่ายรูปแบบปรับหลังกล้องดีกว่า
คือปรับ picture style และ white balance ตามต้องการจากกล้อง
ถ่ายออกมา พอดูรูป
..เอิ่ม..
ยังต้องฝึกอีกเยอะเลย
รูปเหล่านี้ไปแตะ (ตกแต่ง) น้อยมาก ส่วนใหญ่แค่ย่อแล้วก็ sharpen นิดเดียวแค่นั้น
เอามาลงโชว์ห่วยแล้วกัน
เอิ้ก..เอิ้ก
เริ่มจากนัดสมาชิกแก๊งปากมันไว้ที่หัวลำโพง
ตอน 06.00 น.
วันหยุดแต่ตื่นเช้าสุดๆ
ทุกคนนอนดึกกันหมด วันนี้ได้มีคนแฮงค์กันบ้างแหละ
ตอนจะเดินเข้าหัวลำโพง เห็นร้านโจ๊กเปิดขายอยู่
หวานใจอยากรองท้องขึ้นมาก็เลยนั่งกันเลย
โปรดสังเกตด้านล่างของชาม
นั่นไม่ใช่หมูสับปั้นเป็นก้อนแต่อย่างใด
เข้าใจว่าเป็นการกลายพันธุ์จากลูกชิ้นอะไรสักอย่าง
หวานใจเหวี่ยงไปหนึ่งดอก
กับโจ๊กที่สั่งเอาเฉพาะหมูสับกับไข่
แต่มีตับมานอนลอยคออยู่เกือบเต็มชาม
และแล้วพอแม่ค้ายกพวงสวรรค์ เอ้ย..พวงเครื่องปรุงมาให้
ก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น
อูย..ยย กะจะให้เมากันตั้งแต่ไก่โห่เลยเหรอ
FAIL
หลังจากนั้นพวกเราก็ยังมีด่าน “กาแฟ..ไม่ขม” อีกอย่าง
น่าจะดีใจเนอะ กาแฟไม่ขม
..แต่..
มันมีแต่หวานน่ะสิ (หวานเรียกลุง)
เหอ..เหอ
กว่าจะได้เข้าไปยังสถานี
ก็ได้เวลาตามที่ระบุไว้ที่ตั๋วรถไฟ
กว่ารถไฟจะเคลื่อนขบวนก็เกือบ 07.00 น.
คุณป้านั่งข้างหลังบ่นตลอดเลย
บอกว่าทริปที่แกไปคราวที่แล้ว
แกมัวแต่หาที่จอดรถอยู่ สรุป..ตกรถไฟ
มาทริปนี้ แกตั้งใจมาก่อนเวลาเต็มที่
รถไฟดันออกช้ากว่ากำหนดเสียนี่
แดดเริ่มออกแบบนี้
ผ่านสถานีชานเมือง ให้ผู้โดยสารขึ้นกัน
ใครอยู่ใกล้ บางซื่อ บางเขน (เกษตร) หลักสี่ ดอนเมือง รังสิต
ก็มารอขึ้นรถไฟได้เลย ไม่ต้องไปขึ้นที่หัวลำโพง
พอแดดวิ้งๆ หวานใจก็พาเจ้ากบบุญชูออกมาแชะๆ ทันที
แมวดื้อชอบนั่งดูข้างทางไปเรื่อย
บางครั้งจะพบเห็นชีวิตที่มักจะให้ข้อคิดดีๆ (หากคิดได้นะ)
การกำหนดที่นั่งตายตัว
เป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง
เพราะเราจะไม่มีทางรู้ได้เลย
ว่าที่นั่งของเราจะไปจุ้มปุ๊กอยู่หน้าห้องน้ำหรือไม่
จนกว่าจะได้เดินทางแล้วนั่นแหละ
แดดยามเช้า กับ ลมเย็นๆ
เมื่อผ่านพ้นแหล่งชุมชนมาแล้ว
ยื่นหน้าออกไปสูดอากาศข้างนอกกันบ้าง
(หวังว่าคงไม่ไปประสบพบแก๊งปาหินนะ)
ทุ่งหญ้า สลับกับโรงงาน หรือหมู่บ้านต่างๆ
การถ่ายรูปในรถไฟ มักจะได้กรอบภาพธรรมชาติมาด้วย
นั่งมาจนเกือบง่วง
เจ้าหน้าที่ก็เดินมาบอกกำหนดการ
ว่ารถไฟจะหยุดพักให้นักท่องเที่ยว เข้าไปลุยดงทานตะวัน
ให้เป็นผื่นคันคะเยอ จนต้องร้องเรียกกระจองงอแงหาคาลาไมด์
แว่บแรกที่แมวดื้อเห็นภาพนี้บนรถไฟ
แมวดื้อนึกถึงทุ่งดอกไม้ในการ์ตูนญี่ปุ่น
ที่กว้างไกลออกไป
พาลอยากจะใช้ stamp tool ลบ โรงงานที่อยู่ไกลๆ นั้นออกไป
ท้องฟ้าสดใส
ซึ่งแท้จริง แดดกำลังเผาขนแขนให้ม้วนตัวเป็นเกลียวกันอยู่
เสียงชัตเตอร์กล้องเล็ก กล้องใหญ่ ดังกันเป็นระยะ
แมวดื้อค่อยๆ หยิบเลนส์เทเลออกมา
เจ้าหน้าที่เห็นดังนั้น ตะโกนไล่หลังมา
“โน่น.. น้องไปข้างในเลย”
พาลให้นึกไปถึงเวลาขึ้นรถมินิบัส
“ชิดในเลยพี่..ชิดในเลย”
เดินเข้าไปจนถึงจุดที่คิดว่าตัวเองจะไม่หลง
(จะหลงได้ไงฟร่ะ เดินเป็นเส้นตรงมาเลย)
จากนั้นก็ไปแวะที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
ให้ถ่ายรูปกลางสันเขื่อน
และพักรับประทานอาหารกลางวันตามอัธยาศัย
ใจจริงก็เป็นคนอัธยาศัยดีนะ
แต่แดด (โค-ตะ-ระ) ร้อนมาก
และนักท่องเที่ยวที่มา ก็ลงจากรถไฟพร้อมกางร่มกันพรึบ
(เตรียมตัวมาดี)
แล้วเหล่าชาวร่มเหล่านั้น ก็กรูกันไปที่ร้านอาหารต่างๆ อย่างว่องไว
แป้บเดียว แต่ละคนก็พาตัวเองเข้าร่มชายคา สั่งอาหารมาเรียบร้อย
อาหารท้องถิ่น ราคาเบาๆ
กินกัน 4 คน มีน้ำอัดลมด้วย ค่าเสียหาย 240 บาท
จากนั้นพวกเราก็เข้าไปเดินเล่นตรงบริเวณเขื่อนป่าสักฯ
(ร้านอาหารที่กิน อยู่ตรงบริเวณสถานีรถไฟ)
ปลาเยอะมาก ตัวใหญ่ๆ เพียบ
มีนักท่องเที่ยวให้อาหารปลากันตลอด
จากนั้นพวกเราก็เดินกลับมายังสถานีรถไฟ
รอเวลาเดินทางกลับ
แดดแยงตาขนาดนี้
หลับกันดีกว่าพี่น้อง
ตื่นมากลายเป็นเด็กขี้มูกยืด
เนื่องจากฝุ่นเข้าหน้าตลอดเวลา
สรุปทริปนี้
ค่ารถไฟ 280 บาท
ค่ากินมื้อเช้า (ที่ fail) 40 บาท
ค่ากินมื้อเที่ยง 60 บาท
ไปเที่ยวใช้เงินไม่ถึง 500 บาท
เดินทางสะดวก ไม่ถึงกับสบายมาก แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร
ใครว่างๆ ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน ลองไปดูสักครั้ง
ว่าไป…ก็อย่าไปคาดหวังอะไรมาก…การที่ไม่คาดหวัง..ทำให้ได้รับกอะไรดีๆเค้าเรียกว่า “เกินคาด”นั่นเอง
ปุ๋มเช็ครีวิวในเนต เห็นแต่ฝูงชนที่กรูกันลงไปที่ทุ่งทานตะวันนะ..รู้สึกหมดเลย ไม่สวยแน่
แต่ไปจริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้น เพราะว่า..รูปที่เราเห็นมันอยู่แค่ในกรอบสี่เหลี่ยมแคบๆ(ตา่มความกว้างของเลนกล้องคอมแพค) ทำให้เรานึกว่ามันแคบ แต่ที่ไหนได้ ทุ่งทานตะวันที่รถไฟผ่าน รถธรรมดาจะเข้าไม่ได้ มันเป็นไร่ๆๆ ครับท่านผู้ชม..มันใหญ่มาก …ปุ๋มนะ…เลิฟฟฟฟ ที่สุดกับทุ่งดอกไม้..ดูเมืองนอกแล้วอิจฉาทุกที แต่ดีใจมากๆที่ประเทศไทยก็มีแบบนี้
ตอนแรกก็คิดอีก ปล่อยแค่แป๊ปเดียวเอง…แต่จริง ๆ เป็นเวลาที่ดี สามสิบนาที เพราะมันร้อนมาก นานกว่านี้ อาจเป็นลมได้ ก็โอเค ปุ๋มชอบทุ่งดอกทานตะวันตามข้างทาง กว้างๆ คนบนรถไฟตลกดี มีตรบมือ วู๊วว๊าววกันด้วย..ตอนผ่าน 55
อุ๊ยเล่ายาวไว้ไปเล่าในบล็อคดีกว่า 555 😎 😎
โอ้ว…ไปเที่ยว ใช้เงินน้อยมากๆ ไม่รู้ว่าตัวผมยังมีโอกาสไปอีกเหรอเปล่า -“-