บางนกแขวก

วันนี้มีแพลนทริปใกล้ๆ
เอากล้องออกไปตากแดดเสียหน่อย
เดี๋ยวรามันจะขึ้น

:roll: :roll:

ออกจากสมุทรปราการ (บ้านหวานใจ)
ไปยังสมุทรสาคร
ถึงที่หมายสมุทรสงคราม

:grin: :grin:

หลังจากการผจญภัยโดยลำพังของแมวดื้อ
ที่พี่คนขับรถตู้พาไปทิ้งกลางนาเกลือ
ทำให้แมวดื้อจำทางได้แม่นเลยทีเดียว
ฮ่า..ฮ่า

รถตู้พาเรามาถึงแม่กลอง
หลังจากลงรถตู้ได้
ก็เริ่มทำใจกับสภาพอากาศอันร้อนระอุ
หวานใจรีบเข้าไปเก็บแอร์จาก 7-11 ใส่กระเป๋าไปด้วย
อัลบั้มรูปก็บังเกิดนับต่อจากนี้

รถประจำทางสีน้ำเงิน
เข้ากับท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆในเวลานี้เป็นอย่างมาก
รถจะผ่านทั้งตลาดน้ำอัมพวา ตลาดน้ำบางน้อย
และตลาดน้ำบางนกแขวก
จุดหมายแรกของพวกเราในวันนี้
ค่ารถประมาณ 11-18 บาท ตามจุดที่จะลง

รถจะออกทุกๆ 20 นาที
ออกวิ่งตั้งแต่เช้าไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ
รถมีพัดลม นั่งรอในรถในระยะเวลาแค่นี้ ดีกว่าไปอาบแดดอยู่ข้างนอก

หวานใจกับ doll ใหม่
เยอะจนแมวดื้อจำไม่ได้แล้ว
เลยปล่อยให้เป็นหนึ่งในสมาชิก wonderland ก็แล้วกัน

:o:o

ตรงท่ารถนี้จะมีรถอยู่หลายสาย
เวลาขึ้นอาจต้องดูดีๆ นิดนึง
ถ้าขึ้นผิด อาจได้ย้อนกลับไปมหาชัย

:roll: :roll:

รถผ่านตลาดต่างๆ มาเรื่อยๆ
พี่คนขับก็แนะนำ อธิบายเส้นทางท่องเที่ยวตลอดทาง
จนมาถึงทางเข้าตลาดเก่า 100 ปี บางนกแขวก

ไม่รู้ว่าจะให้จำป้ายไหนดี
มีป้ายซอยหลวงปู่
ป้ายทางเข้าตลาดเก่า 100 ปี บางนกแขวก
ป้ายแป๊ะก๋วยเตี๋ยวปูอันลือชื่อ
หรือป้ายที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน บางนกแขวก
ฯลฯ
เอาเป็นว่าถ้าขับรถมาเอง
ผ่านอาสนวิหารแม่พระบังเกิด ทางด้านซ้ายมือ
พอข้ามสะพานก็เลี้ยวซ้ายซอยแรกได้เลย
ส่วนหากนั่งรถประจำทางก็ไม่ยาก
พี่คนขับเค้าจอดให้หน้าปากซอยพอดีเป๊ะ

เดินเข้าในซอยมาก็จะเจอร้านนี้
ร้านแป๊ะก๋วยเตี๋ยวปู
แมวดื้อเชื่อว่าหากลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับบางนกแขวกในอินเทอร์เนท
น่าจะได้ข้อมูลร้านแป๊ะก๋วยเตี๋ยวปูขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ร้่านนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าตลาดเก่า (ไม่ได้อยู่ในตลาด)
ร้านนี้มีแต่ปู ทั้งก๋วยเตี๋ยวปู ข้าวผัดปู กะเพราปูราดข้าว หรือ บะหมี่ปู

ขณะนั่งตัดสินใจว่าจะสั่งอะไรดี
ขอน้ำเก๊กฮวย กับน้ำลำไย มาดับความร้อนกันเสียหน่อย

กะเพราปูราดข้าว
รสชาติใช้ได้เลย ราคาไม่แพง ไม่เจอกรรเชียงปูให้รำคาญใจ

ก๋วยเตี๋ยวปู
ที่ดูเหมือนเป็นการประยุกต์เอาเนื้อปูมาใช้ แทนที่เนื้อหมู หรือลูกชิ้น
ร้านนี้จะขายตั้งแต่เช้า ดังนั้นใครอยากลิ้มลองแนะนำให้มาเช้านิดนึง
ไม่เช่นนั้นวัตถุดิบ (เนื้อปู) ก็จะหมดเสียก่อน

การทำงาน ถึงอาจจะดูวุ่นวาย มีขึ้นเสียงกันบ้าง
แต่จริงๆ แล้วแต่ละคนก็มีหน้าที่ของตัวเองแยกกันไป
อาแป๊ะจะทำอาหารที่เกี่ยวกับข้าว ทั้งข้าวผัดปู และกะเพราปูราดข้าว
โดยมีน้องเสื้อเหลือง คอยตักข้าว และนำอาหารที่เสร็จแล้วไปเสิร์ฟ
อาซิ่มก็จะทำอาหารที่เป็นพวกก๋วยเตี๋ยว
ส่วนลูกชายก็จะเป็นคนเก็บเงินและขายของอื่นๆ หน้าร้าน อาทิเช่นกล้วยตากแห้ง

หลังจากได้ลิ้มรสปูกันไปแล้ว
ก็เดินทางเข้าตลาดเก่าบางนกแขวก
ซึ่งก็ได้เจอชาว tweet ที่ชื่นชอบเที่ยวแนวนี้เหมือนกัน

จะเห็นได้ว่าตามป้ายจะมีสองทาง
หากมองไปด้านหน้า (ทางตรง) จะเห็นริมน้ำอยู่ลิบๆ
แต่ถ้ามองไปทางซ้าย จะเจอกำแพงสูงๆ ออกจะเปลี่ยวอยู่สักหน่อย

เส้นทางด้านหน้า (ทางตรง)
พอเดินออกไปก็จะเจอป้ายอันนี้

แต่ถ้าเดินไปทางซ้าย
ก็จะเป็นประมาณนี้

พอเดินออกไปก็เจอบ้านเรือนริมแม่น้ำ

บรรยากาศเงียบสงบ
หน้าบ้านแต่ละบ้านจะมีม้านั่ง เก้าอี้หินอ่อน หรือบางหลังก็จะทำเป็นชานให้นั่งพักผ่อนกันเลยทีเดียว
นั่งพักตรงนี้ มีลมเย็นๆ พัดมาเป็นระยะ
เหมือนเวลาจะเดินช้าลง ณ จุดนี้

หากเดินเข้าตลาดไปตามป้ายทางด้านซ้าย
แล้วเดินเลาะริมน้ำ
ก็จะมาเจอที่เดียวกัน
มีโฮมสเตย์อยู่ตรงคุ้งน้ำนี้ด้วย
น่าสนใจทีเดียว สำหรับคนที่ชอบความสงบ
ที่ความพลุกพล่านได้เข้าไปยังตลาดน้ำอัมพวามากขึ้นมากขึ้น
นักท่องเที่ยวที่รักความสงบ ก็จะยิ่งขยับขยายไปยังตลาดที่เงียบสงบกัน
ซึ่งตอนนี้ก็แผ่มาถึงตลาดน้ำบางน้อยแล้ว และต่อไปก็น่าจะมาถึงตลาดเก่าบางนกแขวกแห่งนี้

บ้านเรือนที่อยู่กันมาแต่นมนาน
มีเสน่ห์อยู่ในตัว
ไม่ต้องประดิษฐ์ให้เก่า หรือสุขสบายจนเกินตัวในแบบเมืองแต่อย่างใด
ความสุขเกิดขึ้นจากความพอเพียง

ก๋วยเตี๋ยวกะลา ชามละ 10 บาท
นั่งกินริมน้ำ ไปเพลินๆ

รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว
ใครที่ชื่นชอบก๋วยเตี๋ยวแห้ง ไม่ควรพลาด

ร้านนี้ทำงานกันเป็นครอบครัว
มีน้องสองคนคอยล้างกะลา ช้่อนและตะเกียบ
มีผู้ใหญ่สองคนคอยทำก๋วยเตี๋ยว
และเด็กตัวจิ๋วคอยเสิร์ฟ
เมื่อเด็กน้อยเริ่มงอแง ก็จะเริ่มมีการยื่นข้อเสนอ จะซื้อของเล่นให้เมื่อเสร็จงาน
นับว่าเป็นการสอน และอุบายให้ทำงาน ในคราวเดียว

พอเดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอป้ายชื่อตลาดอีก
เหมือนเป็นการแบ่งตลาดเป็นสองส่วน
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ในส่วนใกล้ทางที่เข้ามานั้น
ร้านหรือบ้านหลายหลัง ถูกสร้างด้วยปูนเพื่อความแข็งแรง
ในขณะที่พอหลังจากจุด (ป้าย) นี้ เราจะพบเห็นเป็นบ้านไม้แบบเดิมๆ เสียมากกว่า

สินค้าพื้นบ้านและเสื้อลายต่างๆ
ที่แทบจะพบเห็นกันแทบทุกตลาด ในปัจจุบัน

เจ้าถิ่น คอยเฝ้าร้าน
ไม่ให้ใครมายุ่มย่าม

ความคลาสสิคแบบไม่ต้องบรรยาย

นึกถึงภาพเด็กๆ เล่นกันระหว่างสองบ้าน

อะไรเดิมๆ ที่ยังใช้งานได้ดี

เดินจนสุดตลาด
ถึงเขตส่วนบุคคล
พวกเราก็เลยเดินย้อนกลับทางเก่า
เก็บความทรงจำเพิ่มเติม

กองทัพกุ้งแม่น้ำตัวโต
เพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของจานนี้

เดินทอดน่องมาจนถึงชานตรงนี้
มีคุณลุงใจดี คอยยิ้มทักทาย
พร้อมจะพูดคุย และเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง

ภาพที่แขวนตามเสา
สำหรับใส่แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ น้ำยาล้างจาน แบบดั้งเดิม
ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นกันแล้ว

พอเห็นเรือจอดอยู่
และเชิญชวนให้ไปท่องเที่ยวทางน้ำ
พวกเราก็ไม่พลาดอย่างแน่นอน
จุดหมายที่จะไปกันคือที่นี่

พอขึ้นจากเรือได้ก็เจอกลุ่มนี้ก่อนเลย

ลักษณะการเลี้ยงค่อนข้างดี
ทั้งสภาพแวดล้อมและอาหาร
ใกล้ๆ กันนี้มีรีสอร์ทหลายแห่ง
นิยมเลี้ยงปลาด้วยวิธีนี้
เป็นการเพิ่มกิจกรรมสำหรับผู้มาพักผ่อน
ที่ชื่นชอบการตกปลาอีกด้วย

ที่บ้านแห่งนี้ เป็นแหล่งปลูก “มะม่วงหาว มะนาวโห่”
พร้อมส่งทั้งน้ำและผลไปขายที่ตลาดเก่าบางนกแขวก
แต่ละร้านก็จำหน่ายแตกต่างกันออกไป
คือบางร้านนำผลไปทำน้ำเอง
จากที่แมวดื้อได้ลิ้มลองมาหลายร้าน
รสชาติต่างกันพอสมควร
น้ำที่จำหน่ายที่บ้านนี้ รสออกจะเข้มข้นกว่าที่อื่น

จากเรื่องราวในวรรณคดี “นางสิบสอง-พระรถเมรี” อันลือชื่อ

เรื่องราวของหญิงสาว 12 คนที่ถูกพ่อนำไปปล่อยในป่า เพราะคิดว่าเป็นกาลกิณีที่ทำให้ครอบครัวที่เคยเป็นเศรษฐีกลับยากจนลง นางทั้งสิบสองต้องเร่ร่อนไปจนกระทั่งไปถึงเมืองยักษ์ นางยักษ์จึงรับนางสิบสองเป็นน้อง ภายหลังนางสิบสองรู้ว่าพวกตนอยู่กับยักษ์ จึงหลบหนีไปเมืองกุตารนคร และทั้งหมดได้เป็นมเหสีของพระเจ้ารถสิทธิ์

เมื่อนางยักษ์รู้ข่าวก็โกรธแค้นมาก จึงตามมาและทำอุบายจนได้เป็นมเหสีเอกของพระเจ้ารถสิทธิ์ จากนั้นจึงหาทางกำจัดนางสิบสอง โดยแกล้งทำเป็นป่วย ต้องควักลูกตานางสิบสองออกมาจึงจะหาย พระเจ้ารถสิทธิ์จึงควักลูกตานางทั้งสิบสอง แล้วส่งไปขังไว้ในถ้ำในขณะที่ทุกคนตั้งครรภ์แล้ว ทั้งหมดอดอยากมากจึงกินเนื้อลูกของตัวเอง ยกเว้นน้องสุดท้อง ซึ่งไม่ได้กินลูกของตน และตั้งชื่อลูกว่า “รถเสน” หรือ “พระรถ”

ต่อมาพระเจ้ารถสิทธิ์ก็รู้ว่าพระรถเป็นลูก ทำให้นางยักษ์ไม่พอใจ จึงคิดกำจัดพระรถ ด้วยการแสร้งทำเป็นป่วย ต้องกินผลไม้ในเมืองที่นางเมรีลูกสาวของตัวเองอยู่ จึงจะหาย จึงให้พระรถไปเอามา โดยฝากสารสั่งให้นางเมรีฆ่าพระรถ ว่าถึงเมืองเมื่อไรให้ฆ่าเมื่อนั้น แต่เผอิญพระรถได้ไปพบฤาษีกลางทาง ฤาษีจึงได้แปลงสารว่า ถึงเมื่อไรก็ให้แต่งงานเมื่อนั้น แล้วพระรถและนางเมรีก็ได้แต่งงานกัน สุดท้าย นางเมรีก็ตรอมใจตาย เพราะพระรถหนีกลับเมือง ส่วนนางยักษ์ผู้เป็นแม่เลี้ยง เห็นพระรถกลับมาอย่างปลอดภัยก็แค้นจนอกแตกตาย ฝ่ายพระรถเสนได้รักษาแม่และป้าหายจากตาบอด และได้ครองเมืองต่อมา

จากข้อมูลส่วนหนึ่งระบุว่าผลไม้ดังกล่าวในเรื่องนี้ก็คือ ‘มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่’ หรือบางแห่งเรียกว่า ‘มะม่วงรู้หาว มะนาวรู้โห่’ ซึ่งเป็นพืชชนิดเดียวกันคือ ‘หนามแดง’ ในปัจจุบัน (แต่บางแห่งก็บอกว่าคือ ‘มะงั่วไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่’ ซึ่งเท่ากับเป็นพืชสองชนิด และมะงั่วก็มีลักษณะคล้ายมะนาวแต่ลูกใหญ่กว่า)

หวานใจก็สนุกใหญ่เลย
ถ่ายรูปจนการ์ดเกือบเต็ม

นอกจากที่นี่จะจำหน่ายผลและน้ำแล้ว
ก็ยังจำหน่ายต้นให้ไปปลูกกันอีกด้วย
ใครสนใจสามารถติดต่อได้ เบอร์โทรจากในรูปได้เลย

ผลที่ยังอ่อนอยู่จะเป็นสีเหลืองนวลๆ แบบนี้
อ่อ..เกือบลืม ต้นนี้จะมีหนามแหลมๆ ด้วยนะ
ถ้าจะมุดเข้าไประวังตัวให้ดี
(โดนมาแล้ว)

:x :x

หลังจากนั้นพี่คนขับเรือ
ก็แนะนำสถานที่ต่างๆ ทั้งรีสอร์ท โฮมสเตย์ริมน้ำ
ไปจนถึงการแบ่งเขตระหว่างจังหวัดสมุทรสงคราม
และจังหวัดสุพรรณบุรี โดยแม่น้ำและคลองเล็กๆ
เป็นการศึกษาภูมิศาสตร์ไปในตัว

จากนั้นพวกเราก็เดินย้อนกลับทางเก่า
ไปพักหน้าบ้านหลังนี้

โดยมีเจ้าของบ้าน คอยต้อนรับอย่างดี

ได้เวลาอันสมควร
ลาตลาดเก่าบางนกแขวก
ไว้เจอกันใหม่ ในวันที่เวลาหมุนช้าลง อีกครั้ง