ถึงวันอาทิตย์อีกแล้ว
วันหยุดวันนี้ไม่มีแพลนไปไหน
เพราะหวานใจหนีเอาน้อง (ตุ๊กตา) ไปถ่ายรูปที่สวนสยาม
ตอนเช้าตื่นขึ้นมา แมวดื้อก็เปิดคอม ทำโน่นนี่ไปตามประสา
ก็ลองโปรแกรมใหม่บนไอโฟน
ก็ลงได้ตามปกติ เรียบร้อย
แต่พอจับ restart เครื่อง
มันก็ค้างอยู่หน้าจอโลโก้ Apple ซะอย่างงั้น
reset อยู่หลายรอบ
จนแน่ใจว่าเดี้ยงแน่นอน
ก็เลย sftp เข้าไปดูดไฟล์ออกมา แล้วจับ restore ซะเลย
ถือว่าเป็นการเตรียมตัว ก่อนที่เฟิร์มแวร์ใหม่ (น่าจะ) มาในสัปดาห์หน้า
ขณะรอ restore firmware ก็เปิดเว็บไปเรื่อย
จนมาเจอข้อมูล ปชช.แห่ร่วมงาน “รำลึก 100 ปีพระบรมรูปทรงม้า”
ก็เลยยัดกล้องใส่กระเป๋า เคลียร์เมมโมรีการ์ดให้ว่าง แล้วก็ลุยโล้ด
ก่อนจะไปสถานที่แห่งใด ก็ควรทำการบ้านกันก่อน
ถึงแม้แมวดื้อเองตอนเด็กๆ ก็ไปถวายบังคมเกือบทุกปี
แถมเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจในประวัติของพระบรมรูปทรงม้าสักเท่าไรนัก
ค้นข้อมูลดูพบว่า ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
เขียนไว้อย่างละเอียด และน่าจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
หยิบเอาข้อความส่วนหนึ่งมาแปะไว้ดังนี้
พระบรมรูปทรงม้า ณ พระลานหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ประชาชนทั้งประเทศพร้อมใจกันสร้างถวายในรัชกาลของพระองค์ ขณะยังดำรงพระชนม์อยู่เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๑ ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่งประการหนึ่ง คือ ตามปรกติอนุสาวรีย์ของบุคคลนั้น มักจะสร้างภายหลังที่บุคคลนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว ยกเว้นพระบรมรูปทรงม้าแห่งเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานเปิดพระบรมรูปด้วยพระองค์เอง
การสร้าง “พระบรมรูปทรงม้า” นั้น สืบเนื่องมาจาก ๒ กรณีประกอบกัน คือ กรณีที่ ๑ เวลานั้นพระองค์ทรงคิดแผนผังสนามขนาดใหญ่เพื่อเชื่อมถนนราชดำเนินที่สร้างเสร็จแล้วกับพระที่นั่งอนันตสมาคมที่กำลังสร้าง กรณีที่ ๒ อีกปีเศษจะถึงอภิลักขิตมงคล ซึ่งพระองค์จะทรงครองราชย์ยืนนานยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทยในขณะนั้น จึงควรจะมีการสมโภชเป็นงานใหญ่ และได้ดำรัสสั่งให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร เป็นประธานในการจัดงานสมโภช เนื่องจากพระองค์ยังทรงอยู่ระหว่างการเสด็จประพาสยุโรป โดยใช้ชื่อการจัดงานครั้งนี้ว่า “พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก”
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชและคณะเสนาบดี มีความเห็นพ้องกันว่า เนื่องจากเป็นพระราชพิธีมหามงคลที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงควรที่จะชักชวนให้ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศได้มีโอกาสบริจาคทรัพย์ตามกำลังเพื่อทูลเกล้าฯถวายเป็นเงินเฉลิมพระขวัญ หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า “ทำขวัญ” แล้วแต่จะทรงใช้สอยเงินนั้นตามพระราชหฤทัย นอกจากนี้แล้วยังมีเสนาบดีบางคนเห็นว่าควรจะสร้างสิ่งอันใดไว้เป็นอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติด้วย ซึ่งข้อตกลงนี้เห็นควรให้รอมติต่อเมื่อรู้ยอดเงินเฉลิมพระขวัญเสียก่อน
ในขณะเดียวกันก็ได้ทราบข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสด็จไปทอดพระเนตรพระราชวังแวร์ซาย ณ ประเทศฝรั่งเศส และสนพระทัยพระรูปพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงม้า หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ลานข้างพระราชวัง ทรงปรารภว่าถ้ามีพระบรมรูปทรงม้าของพระองค์ตั้งไว้ในสนามที่ถนนราชดำเนินเชื่อมกับพระที่นั่งอนันตสมาคมคงจะสง่างามดี เหมือนเช่นที่มักมีกันตามประเทศต่างๆ ในยุโรป สืบราคาสร้างพระบรมรูปเช่นนั้นว่าราว ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในขณะนั้น
คณะกรรมการจึงสำรวจยอดเงินเฉลิมพระขวัญปรากฏว่ามีประชาชนยินดีถวายเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสิ้นประมาณ ๑ ล้าน ๒ แสนบาทเสนาบดีจึงลงมติ แล้วสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชกราบทูลขอถวายพระบรมรูปทรงม้านั้นเป็นของขวัญทูลเกล้าฯจากประชาชนชาวไทยสนองพระมหากรุณาธิคุณในพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ก็โปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาต จึงปรากฏพระบรมรูปทรงม้าขึ้น ณ พระลานพระที่นั่งอนันตสมาคมด้วยประการฉะนี้ โดยได้สร้างแล้วเสร็จพร้อมกราบบังคมทูลถวายฯ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๑
สำหรับเงินเฉลิมพระขวัญที่เหลือจากการสร้างพระบรมรูปทรงม้าอีกประมาณเกือบ ๑ ล้านบาท ก็นำขึ้นทูลเกล้าฯถวายตามมติเดิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชดำริว่าจะนำเงินนั้นไปใช้ประการใดเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนชาวไทยเพื่อสนองคุณความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อพระองค์นั้น ยังไม่ทันตกลงว่าจะทำประการใด ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ จึงทรงดำเนินการตามพระราชประสงค์ของพระองค์ โดยโปรดให้ใช้เงินเฉลิมพระขวัญที่ยังเหลืออยู่ก่อตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข้อมูลเพิ่มเติม
พระบรมรูปทรงม้า : พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งความจงรักภักดีของพสกนิกรไทย
แมวดื้อนั่งรถประจำทางสาย 28 มาลงที่เขาดิน
แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ
เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีการปิดถนนใดบ้าง
เดินเท้าเอาแล้วกัน
อากาศสบายๆ ไม่ร้อนจนเกินไป (หลังจากเย็นๆ มาได้หลายวัน)
จนมาถึงด้านหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม
ก็เห็นประชาชนแต่งกายด้วยชุดดำก็เต็มลานพระบรมรูปทรงม้าไปหมด
ก่อนจะเข้าไปยังพระที่นั่งอัมพรสถาน (สวนอัมพร)
ก็ควรไปถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้ากันก่อน
บริเวณลานหน้าพระบรมรูปทรงม้า
รูปสุดท้าย อาจดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไร
แต่มีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ มาฝาก
นั่นคือ
การสักการะบูชาพระบรมรูปทรงม้านั้น
นิยมใช้ดอกกุหลาบสีชมพู
ด้วยความเชื่อที่ว่า ดอกกุหลาบที่มีความงามและมีหนามแหลมคม (คืออำนาจ)
หากนำมาบูชาจะทำให้ผู้บูชามีอำนาจ และสีชมพูยังเป็นสีของวันอังคาร (วันพระราชสมภพ)
ต่อจากนั้นก็เข้ามายังบริเวณงานกันเลยก็แล้วกัน
แค่ทางเข้าก็สาวๆ เพียบ
เอ้ย.. ประชาชนผู้มารำลึก 100 ปี พระบรมรูปทรงม้า จำนวนมาก
ส่วนแรกที่เข้าไปถึง ก็คือตรงน้ำพุ
บริเวณนี้จะมีเรือลอยอยู่
เป็นเรือจากตลาดน้ำต่างๆ
มาจำหน่ายอาหาร แต่งกายด้วยชุดไทย ให้เข้ากับบรรยากาศงาน
จากที่คุยกับแม่ค้า
มีหลายร้านของหมดกันแล้ว
โดนแม่ค้าดุเลย
มาทำไมเอาป่านนี้ ทำไมไม่มาเช้าๆ
ก็เลยยอมรับแต่โดยดีว่าตื่นสาย
พอบอกว่านอนตี 3-4
ก็โดนดุอีก ว่าไม่ยอมนอน
ดุกว่าท่านแม่เราอีกแฮะ
ฮ่า..ฮ่า
แต่ก็รับปากว่าจะไปเยี่ยมเยียน ตลาดน้ำคลองลัดมะยมแน่ๆ
เป็นอีกตลาดน้ำหนึ่งที่ตั้งใจว่าจะไปอยู่แล้ว
เดินต่อมาอีกหน่อย
ก็เจอร้านขายของเล่นโบราณ
จากที่เคยไปตลาดสามชุก หรือตลาดโบราณอื่นๆ
ของเล่นจะเป็นยุคกลางๆ คือเป็นยุคที่แมวดื้อเกิดทัน
(อ้าว..แอบแก่)
แต่ของเล่นที่ร้านนี้ เรียกว่าโบราณมาก
บางอย่างแทบไม่รู้จักเลย
แต่บางอย่างก็ได้เล่นนะ จะบอกให้ อิอิ
ขณะอยู่ที่ร้านขายของเล่น
ก็มีฝนตกปรอยๆ ลงมา
ก็เลยเข้าไปยังบริเวณอาคารหลักของสวนอัมพร
มีนิทรรศการและกิจกรรมมากมาย
พอออกมาฝนก็หายไปแล้ว
เดินต่อไปยังลานเอนกประสงค์ ซึ่งมีการละเล่น และอาหารจำหน่ายอีกมากมาย
เดินวนไปวนมา
จนกระทั่งเกือบทุ่มนึง
กลัวว่าเดี๋ยวพองานเลิก ทุกคนก็จะกลับบ้านพร้อมกัน
คงไม่มีรถ ก็เลยตั้งใจว่าจะออกมาก่อน
แต่พอใกล้ประตูทางออก
ก็เจออีกอาคารหนึ่ง ที่แสดงพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ ก็เลยเดินเข้าไปดู
พระราชกรณียกิจมากมาย
ยกตัวอย่างอาทิเช่น การเลิกทาส, การไปรษณีย์/โทรศัพท์
โรงพยาบาล, การพยาบาล/สาธารณสุข
การขนส่ง, การสื่อสาร
การไฟฟ้า/ประปา, การธนาคาร
เหล่าพสกนิกรชาวไทยควรจะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช
ผู้ทรงปกป้องคุ้มครองแผ่นดินและพัฒนาบ้านเมืองเพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ทัดเทียมนานาอารยะประเทศ และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการนำเอาความรู้
ความสามารถมามุ่งมั่นพัฒนาประเทศชาติต่อไป
ขอปิดท้ายด้วยรูปนี้
พอจะออกจากอาคารเล็กหลังนี้
ฝนก็ได้เทลงมาอย่างหนัก
ก็เลยเก็บกล้อง ห่มฟลายชีต เดินตากฝนออกมาเรียกรถกลับเข้ากลางใจเมือง
ถือว่างานนี้เป็นอีกงาน ที่จัดค่อนข้างดีทีเดียว
มีกิจกรรม เนื้อหา สิ่งต่างๆ ที่สอนลูกหลานได้อย่างดี
พร้อมอาหารอร่อยๆ และการแสดงที่หาชมได้ยาก
ขอตินิดเดียว ก็ตรง การแจกแผ่นพับที่ระลึกของงาน
ที่ออกจะเละเทะไปหน่อย
เดี๋ยวก็ให้ผู้สนใจ ไปรับที่โน่น สักพักเดี๋ยวก็ให้มาตรงนี้
จะดีหน่อยก็ตรงสามารถควบคุมเรื่องคิวได้ในระดับหนึ่ง
คือใครแซงคิว ก็อาจโดนประจานเสียงดังได้
ฮ่า..ฮ่า
รูปสวย ดูน่าไปจังเลย 😥