หนังประเดิมเบอร์แรกค่ายเก่าในชื่อใหม่
ถ้าถามว่าชอบไหม ก็คงตอบสั้นๆ ว่าชอบ
แต่ถามว่าอินไหม ก็คงไม่ถึงขั้นอินในบทหรือสถานที่
อันนี้ก็คงเป็นเรื่องประสบการณ์ส่วนตัวของใครของมันเนอะ
สมมติว่าเราได้ “มองตากัน” ทุกวัน…ก็คงดี
สมมติว่าเราได้ “เดินข้างกัน” ทุกวัน….ก็คงดี
วลีมโนที่สมมตินึกคิดเอาเอง ตามเนื้อเรื่อง
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ของการแอบรักใครสักคน
ยิ่งได้พยายามทำอะไรสักอย่างแล้ว
แต่สุดท้ายก็เป็นได้เพียง “มนุษย์ล่องหน”
ความเรียลของการแอบรักในเรื่อง
เป็นการหยิบเอาหน้ากากทางสังคมปัจจุบันมาเสียดสี
ถึงการมองบุคคลที่รูปลักษณ์ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว
ลักษณะท่าทาง หรือการแสดงออก
ซึ่งเป็นการยึดเอาตัวเองเป็นหลัก
จริงๆ มันก็เป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล
ในโลกแห่งความเป็นจริง ก็อาจจะมีคนชอบคนอย่าง “เด่นชัย” อยู่นะ
(ไม่งั้นชาวไอที/โปรแกรมเมอร์ ก็คงไม่มีคู่กันหมดล่ะ)
หนังทำให้เราได้เรียนรู้ว่า
แม้ “นุ้ย” จะไม่ชอบ “เด่นชัย” ในรูปลักษณ์ภายนอก
แต่พอได้มีโอกาสใช้ชีวิตในช่วงเวลาสั้นๆ
(จริงๆ ก็ไม่ครบวันนะ ถ้านับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลจนถึงหลับไป)
“นุ้ย” กลับรู้สึกดีกับ “เด่นชัย” อย่างบอกไม่ถูก
ส่วนนึงก็อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่ “เด่นชัย” ทำให้ “นุ้ย”
สิ่งเล็กน้อยที่เคยมองข้าม เมื่อวันนึงที่คิดถึงมันดีๆ
มันอาจจะทำให้เราดูสำคัญขึ้นมา อย่างน้อยก็สำหรับคนสักคนนึง
(แค่ใครสักคน.. ก็เพียงพอแล้ว)
อีกส่วนนึงก็คงเป็นเพราะอิสระในการเป็นตัวของตัวเอง
การได้ออกไปผจญโลกบ้าง เดินทางไปในที่ที่อยากไป กินอะไรที่ชอบ
มันทำให้ความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้น
“เด่นชัย” เกือบจะสารภาพความจริงอยู่หลายครั้ง
จนเมื่อเหตุการณ์เลยเถิดเตลิดไปไกลกว่าที่คิด
เขาจึงได้บอกความจริงกับ “นุ้ย”
ซึ่งทำให้ story ของ “นุ้ย” พีคขึ้นมา
(ความผิดของ “เด่นชัย” หายวับไปกับตา)
ตามกลไกความคิดการสำนึกผิด
ถ้าฉันถูก เธอผิด …. เธอเลวมาก
ถ้าเธอผิด ฉันผิด …. ฉันเลวกว่าเธอมาก
หนังยังมีอีกหลายประเด็นที่หยิบขึ้นมานำเสนอ
ในชีวิตจริง คนอย่าง “เด่นชัย” มันไม่ได้เป็นในแนว “หมามองเครื่องบิน” ซะทีเดียวนะ
คือความต่างทางฐานะ สังคม ความคิด แล้วโลกเหวี่ยงให้มาเจอกัน มันก็มีหรอก
แต่ส่วนใหญ่ เรามักจะเจอคนที่คล้ายๆ เรา ในพื้นที่สังคมที่เราอยู่มากกว่า
ถ้าไม่ใช่ เดี๋ยวโลกก็เหวี่ยงกระเด็นแยกกันไปเอง
ถ้าไม่ได้มองถึงเรื่องการแอบรัก
ชีวิตของ “เด่นชัย” ควรที่จะได้รับการช่วยเหลือด้วยซ้ำ
ทั้งการเข้าสังคม การมองโลก การมีเพื่อน
ทุกอย่างมันไม่ได้ตรงๆ เหมือนคอมพิวเตอร์
(คอมพิวเตอร์เองก็ยังต้องมี true/false เลย)
มันต้องเรียนรู้การ input ไม่ใช่เอะอะผิดก็ ctrl+z cancel
ในส่วนของการดำเนินเรื่อง
มันมีหลายส่วนที่ต้องอาศัยประสบการณ์ร่วม
อาทิเช่น การรอรถบัส ตารางรถไฟ หรือทำไมไม่ไปเครื่องบินฟร่ะ
คนที่ไม่เคยไปญี่ปุ่น หรือคนที่ไม่ได้พิศมัยประเทศญี่ปุ่น ไม่เข้าใจหรอกนะ
ในส่วนของภาพ แม้จะมีซีนแปลกๆ อยู่บ้าง
แต่โดยรวม ภาพสวย ไม่ต้องใช้โบเก้เยอะๆ ตามสูตรหนังรัก
ที่ก่อวิ้งๆ เป็นประกาย ทั้งภาพและอารมณ์
โทนสีของภาพ ก็ไปในแนวธีมของเรื่อง
คือมันไม่ใช่ happy ending romantic comedy ที่ภาพใสกิ๊ง
มันมีความหม่นๆ อยู่ใน story แต่ถึงอย่างไร มันก็มีความ feel good
โดยเฉพาะยิ่งเราเคยมีประสบการณ์ร่วมแบบเหตุการณ์ทำนองนี้
โมเม้นท์ที่ทุกคนรอคอย กับการที่ “เด่นชัย” ได้พา “นุ้ย”
ไปเทศกาลน้ำแข็ง
ตรงนี้เป็นส่วนที่ทั้งชอบและไม่ชอบ
ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า
ไม่หรอก.. จริงๆ ก็ชอบแหละ
คือเราก็คาดหวังว่าจะได้เห็นซีนมุ้งมิ้ง feel good ณ งานเทศกาลไง
แต่หนังก็กลับไม่ให้เราเห็น แต่ไปใช้ flashback การเล่าเรื่องผ่านคลิปย้อนหลัง
และความคิดของ “เด่นชัย” แทน
มันเป็นความคาดหวังเล็กๆ นะ ที่จะได้เห็นสิ่งที่ “นุ้ย” อยากไปเห็น
แต่มันเพียงแว่บเดียวแค่นั้น
เทศกาลน้ำแข็งนี้ จริงๆ คือเทศกาลหิมะซัปโปโร
ซึ่งถ้าลอง search ดู จะเห็นว่ามันยิ่งใหญ่มาก
Sapporo Snow Festival หรือ Sapporo Yuki Matsuri
จัดที่เมือง Sapporo เกาะ Hokkaido
ประมาณเดือนกุมภาพันธ์
ลองดูความสวย ความอลังการกันก่อน
http://www.welcome.city.sapporo.jp/event/winter/sapporo_snow_festival/?lang=th
ใครสนใจก็หาทางไปดูด้วยตากันเอาเอง
คาดว่าปีหน้าจะมีคนไทยแห่กันไปเยอะแน่ๆ
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีเมือง Otaru หรือ Otaru Orgel Doh
อันนี้น่าไปสุดๆ
ชอบกล่องดนตรี พีบเพลง มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
เป็นแลนมาร์คอีกแห่งหนึ่งที่คิดว่าถ้ามีโอกาส ต้องไปให้ได้
สรุปแล้วเป็นหนังอีกเรื่องนึงที่ชอบนะ
ให้ดูอีกก็ดู
ไม่เหมือนบางเรื่องที่ชอบแต่ขอดูรอบเดียวดีกว่า
ปิดท้ายด้วยสองรูป สองโทนที่ชอบ
เรามักจะเห็นรูปโทนสีแบบนี้บ่อยๆ ในอินเทอร์เนท
แต่พอถ่ายเองจริงๆ แม้ว่าถ่ายได้องค์ประกอบ ได้ฟีลประมาณนี้
แต่กลับไม่ชอบ process สีแบบนี้แฮะ
(อันนี้ก็เป็นสไตล์ส่วนตัวเนอะ)